ความคิดเห็นต่อเพลง Climate Change แย่เลย

Gain
3 min readDec 28, 2020

--

วันนี้มีโอกาสโทรเข้าไปหา call center ของธนาคารกสิกรไทย แต่พอโทรเข้าไปแล้วก็ได้ฟังเพลงรอสายเพลงนี้ Climate Change แย่เลย ของพี่โต๋กับ Wonderframe ซึ่งจริงๆเพลงนี้ก็เคยได้ยินมาสักพักแล้วจากโครงการเรียนรู้รักษ์ป่าน่านของทางกสิกร แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะจริงจังกับการโปรโมทถึงกับเอามาเป็นเพลงรอสาย call center ของธนาคารขนาดนี้ ในเมื่อธนาคารตั้งใจที่จะโปรโมทโครงการนี้ ก็เลยอยากจะส่งความเห็นต่อเนื้อเพลงให้กับทางธนาคารและทีมงาน เพื่อที่จะได้ปรับปรุงเนื้อหาให้ดีขึ้นในอนาคต แน่นอนว่าโครงการสิ่งแวดล้อมหรือ CSR ต่างๆ นั้นมีประโยชน์กับสังคม แต่ในขณะเดียวกันถ้าโครงการนั้นทำ PR และมุ่งประเด็นไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ก็อาจที่จะเกิดผลเสียมากกว่าผลดี

เนื้อร้องเพลง Climate Change แย่เลย

ใช่เลย โลกร้อนมากเลย
ถ้าลองสังเกตนี่คือสาเหตุ Climate Change นะเธอ
ใช่เลย Climate Change แน่เลย
ดินฟ้าไม่ดี แปรปรวนทั้งปี อากาศร้อนทุกที แย่เลย
ก็แล้งขนาดนั้น ก็ท่วมขนาดนี้ ไม่เคยจะพอดี Climate Change แน่เลย
เพราะก๊าซพิษสะสม ทำให้เกิดความร้อน บรรยากาศถูกทำลาย O2 หายไป
แย่เลย Climate Change แน่เลย
ก็ร้อนแทบตาย อากาศเปลี่ยนวุ่นวาย อันตรายนะเธอ แย่เลย
ก็แล้งขนาดนั้น ก็ท่วมขนาดนี้ ไม่เคยจะพอดี Climate Change แน่เลย
มาฟื้นฟูป่าไม้ ให้โลกมีแหล่งน้ำ ถ้าหากว่าพวกเราช่วยกันทุกคน เยี่ยมเลย
คิดไม่ถึงใช่ไหมว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว อยากให้รู้ว่าเธอและฉันช่วยได้
ป่ายิ่งเพิ่มมากมาย คาร์บอนไดออกไซด์ยิ่งลดลง เยี่ยมเลย
น้ำแข็งขั้วโลกเหนือค่อยๆ หลอมละลาย
อากาศก็ร้อนซะจนเหมือนอยู่ทะเลทราย
ความแปรปรวนสภาพอากาศเค้าเรียกว่า Climate Change
อากาศเปลี่ยนแปลงสุดขั้ว เกิดภัยพิบัติเน้นๆ
แย่ๆๆ ยิ่งพูดก็ยิ่งแย่
ภัยแล้งมาเร็วจนน้ำในเขื่อนร่อแร่
ไม่มีน้ำให้ใช้หมดหนทางแก้
ฝนตกผิดฤดู น้ำท่วมแน่ๆ
ช่วย ช่วยกันทุกวันคนละนิด
คาร์บอนไดออกไซด์ลดง่ายกว่าที่คิด
ประหยัดพลังงานลดพลาสติกอีกนิด
ช่วยโลกของเราให้กลับมามีชีวิต
ช่วย ช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้
แก้ที่สาเหตุหลัก ป่าดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์
ผลิตออกซิเจน สูดลมหายใจให้ผ่อนคลาย
ทุกคนช่วยได้ช่วยโลกของเราแบบสบายๆ
ก็แล้งขนาดนั้น ก็ท่วมขนาดนี้ ไม่เคยจะพอดี Climate Change แน่เลย
เพราะก๊าซพิษสะสม ทำให้เกิดความร้อน บรรยากาศถูกทำลาย O2 หายไป (หายไป)
ก็แล้งขนาดนั้น (แล้งขนาดนั้น)
ก็ท่วมขนาดนี้ (ท่วมขนาดนี้)
ไม่เคยจะพอดี Climate Change แน่เลย (แน่เลย) มาฟื้นฟูป่าไม้ ให้โลกมีแหล่งน้ำ
ถ้าหากว่าพวกเราช่วยกันทุกคน เยี่ยมเลย เยี่ยมเลย

ใจความของเพลง

ในส่วนของผลกระทบจากโลกร้อนที่เพลงสื่อทั้งเรื่อง ภัยแล้ง อากาศร้อน น้ำท่วม น้ำแข็งขั้วโลกละลาย ภัยพิบัติต่างๆ อันนี้คิดว่าไม่มีปัญหาเท่าไร เพราะเราสามารถพูดรวมๆแบบนี้ได้ ถ้านักวิชาการที่เคร่งๆบางคนมาอ่านก็อาจจะคอมเม้นในเรื่องของ natural variability หรือเหตุการณ์ที่มันเป็น cycle และความหลากหลายตามธรรมชาติอยู่แล้ว กับ anthropogenic climate change หรือว่าสิ่งที่มนุษย์เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนั่นเอง เพราะไม่ใช่ทุกเหตุการณ์ที่จะมีงานวิจัยพิสูจน์ว่าเกิดจาก climate change และบางเหตุการณ์ก็เกิดเป็นรอบปกติตามธรรมชาติ แต่ก็แน่นอนว่าถึงจะไม่มีข้อพิสูจน์ก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่มีอยู่จริง หลายงานวิจัยก็พิสูจน์ไว้แล้วว่า climate change เป็นต้นเหตุของเหตุการณ์ภัยพิบัติต่างๆมากมาย

มาถึงประเด็นที่ตั้งใจจะมาคอมเม้นกันดีกว่า ก็คือในเรื่องของวิธีการแก้ปัญหา หรือ climate action ถ้าตามเนื้อเพลงก็จะสรุปได้เป็นข้อๆดังนี้

  • มาฟื้นฟูป่าไม้ ให้โลกมีแหล่งน้ำ ถ้าหากว่าพวกเราช่วยกันทุกคน เยี่ยมเลย
  • ป่ายิ่งเพิ่มมากมาย คาร์บอนไดออกไซด์ยิ่งลดลง เยี่ยมเลย
  • ประหยัดพลังงานลดพลาสติกอีกนิด
  • ช่วย ช่วยกันปลูกป่า ปลูกต้นไม้
  • แก้ที่สาเหตุหลัก ป่าดูดซึมคาร์บอนไดออกไซด์

ปลูกป่าแก้โลกร้อน?

รายงานสถานการณ์ป่าไม้ไทย ประจำปี 2562–2563, มูลนิธิสืบนาคะเสถียร

กราฟนี้คือสถิติปริมาณพื้นที่ป่าไม้ของไทย ถ้าสังเหตุดีๆ ตั้งแต่ช่วงปี 2545 เป็นต้นมาพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยแทบจะไม่เพิ่มขึ้นหรือลดลงเลย เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงนั้นน้อยมากๆ นั่นหมายความว่าอะไร? ก็หมายความว่าที่รณรงค์ให้ทุกคนปลูกป่ากันมาเป็นสิบๆปี มันไม่ได้มีผลอะไรเลยในระดับประเทศ แล้วถามว่ามารณรงค์ปลูกป่าวันนี้ เราจะมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นไหม ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้ เราต้องมาดูปัญหาจริงๆว่าเราเสียพื้นที่ป่าจากอะไร demand มาจากไหน และอะไรทำให้เกิดการบุกรุกป่า การรณรงค์ให้ทุกคนไปปลูกป่าจึงเป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือมีก็น้อยมากๆในระดับท้องถิ่น คำถามที่ตามมาจากการรณรงค์ให้ทุกคนปลูกป่าคือปลูกที่ไหน ปลูกอะไร และปลูกยังไง ซึ่งคำตอบเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องง่ายและแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น ส่วนใหญ่โครงการปลูกป่าสำหรับคนเมืองในอดีตก็เป็นแค่โครงการ CSR ที่ไม่ได้สนใจสภาพแวดล้อมของป่านั้นๆด้วยซ้ำ หรือเรียกง่ายๆก็คือสักแต่ว่าปลูก ดังนั้นการบอกให้ทุกคนปลูกป่าเพื่อแก้ปัญหา Climate Change จึงไม่ใช่สิ่งที่ทำได้จริง ไม่มีประโยชน์ และไม่ใช่คำตอบสำหรับประเทศไทย

ประหยัดพลังงาน ลดพลาสติก

แยกเป็นสองประเด็นพลังงานกับพลาสติก ประหยัดพลังงานนี้เป็นการรณรงค์สุดคลาสสิคที่ทำกันมาทั้งโลกหลายสิบปี ประหยัดพลังงาน ปิดไฟ อย่าใช้พลังงานสิ้นเปลือง ถามว่ามีประโยชน์ไหม มี แต่ถามว่าแก้โลกร้อนได้ไหม ก็ต้องตอบเลยว่าไม่ได้ เพราะปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่เราใช้ในระดับครัวเรือนนั้นน้อยมากๆ เมื่อเทียบกับภาคธุรกิจ และ อุตสาหกรรม และถามว่าภาคธุรกิจเองเขาพยายามจะประหยัดไหม แน่นอนเขาก็อยากประหยัดอยู่แล้วเพราะอยากที่จะลดต้นทุน สิ่งที่น่าจะมีประสิทธิภาพมากกว่าคือการเน้นไปที่นโยบายส่งเสริมการประหยัดพลังงานในภาคธุรกิจ หรือการสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมให้เปลี่ยนไปใช้พลังงานทางเลือกหรือพลังงานสะอาดโดยใช้กลไกราคาพลังงานของตลาด

มาถึงเรื่องการลดพลาสติก ช่วง 2–3 ปีที่ผ่านมาไทยมีการรณรงค์เรื่องนี้ค่อนข้างมาก แต่ถามว่าสิ่งที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนจริงๆคือทุกคนหันมาใช้พลาสติกน้อยลง หรือว่า นโยบายกลไลการเก็บเงินค่าถุงพลาสติก ทุกคนน่าจะรู้ว่าแค่ต้องจ่ายเพิ่ม 1–2 บาทเป็นค่าถุงพลาสติก ก็ไม่มีใครอยากจ่ายแล้ว และเมื่อภาครัฐจริงจังมากขึ้น บังคับใช้กฎหมายมากขึ้น ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกในไทยนั้นก็ลดลงไปมหาศาล ปัญหาที่เกิดตามมาคืออะไรถ้าใครตามข่าวก็คงจะเจอ 400โรงงานดิ้นขอรัฐเยียวยา โรงงานถุงพลาสติกเจ๊งยังไงละ รัฐก็ต้อง balance ระหว่างจะช่วยภาคธุรกิจหรือจะช่วยสิ่งแวดล้อม แต่ในระดับชาวบ้านแบบเรามาบอกให้เราลดใช้พลาสติก เราก็ลดแล้ว ลดได้เยอะด้วย แล้วจะมาบอกให้ลดใช้ถุงพลาสติกช่วยโลกร้อน อันนี้ก็คงตอบได้เลยว่าไม่ได้ช่วยอะไร ประโยชน์ของการลดใช้ถุงพลาสติกจริงๆแล้วช่วยในเรื่องของสิ่งแวดล้อมมากกว่าทั้งบนดินและมหาสมุทร รวมไปถึงอาหารที่เรากินและคุณภาพอากาศที่เราหายใจ

แต่ที่หลายคนไม่รู้เลยก็คือว่าสิ่งหนึ่งที่พลาสติกกับโลกร้อนมีจุดยืนรวมกันก็คืออุตสาหกรรมปิโตรเลียมเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ ในขณะที่คนอื่นทั้งโลกเสียประโยชน์นั้นเอง เพราะวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตถุงพลาสติกก็คือน้ำมันดิบนั้นเอง และในยุคที่บริษัทน้ำมันกำลังล่มจม บริษัทน้ำมันเหล่านี้เองก็เร่ง ผลิตพลาสติกออกมาให้ได้มากที่สุดและไวที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะชดเชยกำไรที่ลดลงจากการขายน้ำมัน ถ้าใครสนใจสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ Big Oil Is in Trouble. Its Plan: Flood Africa With Plastic.

มันก็แค่เพลง?

แน่นอนว่าเราจะใส่เนื้อหาเยอะๆไปในเพลงก็คงไม่ได้ หลายคนอาจจะบอกว่าก็แค่นี้ก็ดีแล้วนิ แต่ถ้าเราลองไปดูคอนเท้นเต็มๆของทางโครงการในหน้า วิธีรับมือและแก้ปัญหา หรือเพลงอื่นๆ ที่ออกมาอย่างไม่มีผู้วิเศษ — BILLbilly01 X Alyn เราก็จะพบว่าเนื้อหาไม่ได้ต่างกับเพลงนี้เลย ในหน้าขององค์กรบอกให้เปลี่ยนใช้พลังงานสะอาด ใช้กระดาษสองหน้า ในหน้าของระดับบุคคลบอกให้ประหยัดพลังงาน ประหยัดน้ำมัน ลดใช้พลาสติก เพิ่มพื้นที่สีเขียว ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองสังคมเราถูกปลูกฝังมาเป็นสิบๆปี ไม่ใช่ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่จะทำ แต่มันไม่ได้แก้ปัญหาของ Climate Change จริงๆต่างหาก

แล้ววิธีแก้ปัญหาโลกร้อนสำหรับไทยคืออะไร?

ปริมาณการปล่อย Greenhouse Gas ตาม sector ของประเทศไทย Thailand’s Third National Communication (TNC) to the United Nations Framework Convention
on Climate Change

ถ้าเราไปดูปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของไทยเราจะเห็นได้ว่าภาคพลังงานเป็น sector ที่ปล่อย Greenhouse gas (GHG) ออกมามากที่สุดและมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นถ้าเราจะช่วยโลกจริงๆ เราก็ต้องแก้กันที่ภาคพลังงานของไทย จะทำอย่างไรให้เราลดการปล่อย GHG ลงได้ในขณะที่เรายังคงมีความสามารถที่จะมีพลังงานใช้ในประเทศได้อย่างมั่นคง

การปล่อยก๊าซ CO2 จากการใช้พลังงานแยกรายชนิดเชื้อเพลิง, สถานการณ์การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคพลังงานรายปี 2562

พอไปลองเจาะดูปริมาณคาร์บอนที่ไทยเราปล่อยออกมาตามเชื้อเพลง เราก็จะเห็นได้ว่าส่วนใหญ่มาจาก น้ำมันสำเร็จรูป, ก๊าซธรรมชาติ, และถ่านหิน/ลิตไนต์ เป็นหลัก ดังนั้นถ้าเราจะลดการปล่อย GHG ในภาคพลังงานเราก็ต้องลดพลังงานที่มาจากเชื้อเพลิงเหล่านี้ และเพิ่มการใช้พลังงานทางเลือก/พลังงานสะอาดมากขึ้น

แน่นอนว่าต้องมีคนบอกว่าประเทศเราไม่มีตัง เราก็ต้องใช้อะไรที่มันคุ้มค่าและเราซื้อได้ในราคาถูก ความจริงก็คือว่าถ้าเราไปดูแผนพลังงานของไทย (PDP) ย้อนหลังเราจะเห็นเลยว่าเราลดเป้าหมายการใช้พลังงานจากถ่านหินลงไปเยอะมาก เมื่อเทียบกับอดีต และเรามีการปรับแผนบ่อยมาก ในอดีตที่บอกกันว่าเราต้องใช้ถ่านหินเพราะพลังงานทางเลือกแพงเกินไป มาดูทุกวันนี้ก็พิสูจน์แล้วว่ามันไม่จริง เพราะพลังงานทางเลือก เช่นโซลาร์ ลม ถูกลงไปหลายสิบเท่า นั้นหมายความว่าที่เราคาดการกันมามันผิดยังไงละ จริงๆแล้วเราใช้พลังงานทางเลือกได้มากกว่านี้ และเราก็ควรจะทำให้ไวกว่านี้ด้วย

ในต่างประเทศเองก็มีหลายที่ที่เลิกใช้โรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนกำหนดและหันไปใช้พลังงานสะอาดแทนด้วยซ้ำ เพราะเขาประเมินแล้วว่าอนาคตมันจะกลายเป็นทรัพย์สินที่ไม่มีค่า (Stranded Assets) หรือทำไปก็ไม่คุ้มทุนขนาดที่ว่าธนาคารที่ลงทุนโครงการไม่ยอมปล่อยสินเชื่อให้ด้วยซ้ำเพราะเขาเห็นถึงความเสี่ยง Asian banks joining trend away from coal

ดังนั้นสิ่งที่ไทยควรทำถ้าเราต้องการจะแก้ปัญหาโลกร้อนก็คือ

  1. ปรับโครงสร้างพลังงานของเรา ให้หันไปใช้ Renewable energy มากขึ้น ไวขึ้น และมีแผนที่ชัดเจน ลงทุนด้านงานวิจัย R&D และส่งเสริมโครงสร้างภาษีให้เอกชนปรับตัวไปใช้พลังงานทางเลือกได้ไวมากขึ้น
  2. ลดการใช้ Fossil fuel ทั้งหมดโดยการเปลี่ยนผ่านไปสู่ไฟฟ้าแทน (Electrification) อันนี้เราสามารถทำได้ทุกภาคส่วนทั้งขนส่ง พลังงาน ครัวเรือน อุตสาหกรรม การที่เราเปลี่ยนมาเป็นไฟฟ้าแทนจะสามารถลดการปล่อย GHG ได้อย่างมหาศาล และทำให้มีประสิทธิภาพทางพลังงาน (Energy efficiency) เพิ่มมากขึ้นด้วย แน่นอนว่าราคามันไม่ถูก แต่ในระยะยาวแล้วมันคืนทุนอย่างแน่นอน และก็เป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
  3. บังคับให้ภาคเอกชนรายงานปริมาณการปล่อย GHG (GHG Reporting) ถ้าการปล่อยคาร์บอนทำให้โลกร้อน แล้วทำไมบริษัทที่ปล่อยคาร์บอนออกมาเยอะๆถึงไม่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับทรัพยากรที่ใช้? ทุกวันนี้เราไม่รู้เลยว่าใครปล่อยออกมามากน้อยเท่าไหร่และต้องลดที่ตรงไหน องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อมก.) เองก็มีแผนที่จะให้บริษัทรายงาน GHG ด้วยความ “สมัครใจ” แต่แน่นอนว่าถ้าเราจะแก้ปัญหาโลกร้อนจริงๆ แค่สมัครใจยังไงก็ไม่พอ ในส่วนของแบงค์ชาติเองก็ควรจะบังคับให้บริษัทเอกชนรายงานสถานะทางการเงินและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Climate-Related Financial Disclosures) กับผู้ถือหุ้นตามกรอบของ TCFD ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ภาคเอกชนร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มความโปร่งใสและลดความเสี่ยงจากโลกร้อนต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจ และธนาคารกลางของหลายๆประเทศก็ได้ประกาศแผนที่จะเริ่มบังคับใช้แล้ว เช่น ฮ่องกง อังกฤษ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น

แล้วในระดับบุคคลละจะทำอะไรได้บ้าง?

  1. เรียกร้องและกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับโครงสร้างและนโยบาย (System change) ตั้งแต่เลือกตั้งจนไปถึงการผลักดันนโยบายและติดตามการทำงานต่างๆของรัฐบาล นี้คือสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะสามารถทำได้เพื่อลดโลกร้อน เพราะสิ่งต่างๆที่เราทำในระดับบุคคลมันแทบจะไม่มีค่าอะไรเลยถ้าเราไม่เปลี่ยนโครงสร้างพลังงาน เศรษฐกิจ และกฎหมาย การกดดันในที่นี้ไม่ใช่แค่สำหรับรัฐบาล แต่ยังรวมถึงบริษัทเอกชน ธนาคาร กองทุน ข้าวของเครื่องใช้ แบรนด์ต่างๆ ทุกอย่างเรารวมพลังกันกดดันได้ มีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จให้เห็นมากมาย
  2. ติดตามโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นในต่างจังหวัดหรือประเทศเพื่อนบ้าน ชาวบ้านบางที่ต่อสู้คัดค้านโรงไฟฟ้าถ่านหินมาเป็นสิบๆปี ซึ่งโครงการแบบนี้นอกจากจะมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นแล้ว ก็ยังปล่อยคาร์บอนออกมามหาศาล เราต้องเลิกเป็นคนเมืองที่ถามคำถามว่าจะเลือกอะไรระหว่างสิ่งแวดล้อมกับความเจริญ และศึกษาทำความเข้าใจถึงต้นตอ สาเหตุ ผลกระทบ และวิธีการแก้ไขปัญหาของรัฐ สิ่งแวดล้อมและความเจริญไปควบคู่กันได ้และถ้าเราเลือกแค่อย่างใดอย่างหนึ่งเราเองนั้นแหละที่จะต้องเป็นคนจ่ายค่าเสียหายให้กับระเบิดเวลาในอนาคต สมัยนี้คงจะพูดว่า Anywhere but not in my backyard ไม่ได้อีกต่อไป เพราะปัญหาโลกร้อนมันเชื่อมโยงกับเราทุกคน ตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ ก็เช่นปัญหา PM2.5 ที่คนกรุงก็โดนไปเต็มๆ ไม่ว่าต้นเหตุจะอยู่ห่างออกไปไกลแค่ไหนก็ตาม
  3. ศึกษาและเรียนรู้ผลกระทบที่เกิดจากตัวเรา (carbon footprint) ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่าสิ่งของเครื่องใช้และทรัพยากรต่างๆมันมีต้นทุนของมัน และการที่เราใช้ชีวิตประจำวันของเรามันก็มีผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมทั้งนั้น แต่เราเป็นคนเลือกได้ว่าเราจะทำลายสิ่งแวดล้อมมากน้อยขนาดไหน หลายๆอย่างทุกวันนี้เราไม่ได้จ่ายในราคาที่เป็นต้นทุนของมันจริงๆ และก็ทำให้เกิดผลกระทบภายนอกทางลบ (negative externality) กับสิ่งแวดล้อมมากมายที่เรามองไม่เห็น ไม่ช้าก็เร็วต้นทุนเหล่านี้ก็จะเพิ่มขึ้นและมารวมอยู่ในราคาที่เราต้องจ่ายในท้ายที่สุด ถ้าเราใส่ใจเรื่องโลกร้อนจริงๆเราก็ต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการลด Food Waste, ลดการกินเนื้อ เพิ่มปริมาณ Plant-Based Diets, ใช้ขนส่งสาธารณะ หรือแม้กระทั่งจ่ายเงินชดเชยคาร์บอนที่เราปล่อย (carbon offset) ทุกอย่างนี้เป็นเป็นสิ่งที่เราทำได้โดยไม่ต้องรอคนอื่น
  4. ศึกษาวิธีการลด GHG เพิ่มเติมจากโปรเจค Drawdown ที่ได้รวบรวมวิธีการลดโลกร้อน และคำนวนออกมาเป็นตัวเลขไว้หมดแล้ว (มีขายเป็นหนังสือด้วย) ซึ่งหลายๆอย่างเราก็ต้องมาปรับใช้กับบริบทของประเทศไทย และเน้นที่ที่เป้าหมายใหญ่ๆที่จะทำให้เราสามารถลด GHG ของประเทศได้มากที่สุด แต่ไอเดียจากโปรเจคนี้ก็จะทำให้เราเห็นภาพได้เลยว่าเราจะสามารถลด GHG ของแต่ละภาคส่วนได้อย่างไรบ้าง และมันช่วยได้มากน้อยขนาดไหน
  5. พูดเกี่ยวกับ Climate change คุยกับเพื่อน คุยกับพ่อแม่ คุยกับเพื่อนร่วมงาน คุยกับหัวหน้าที่ทำงาน แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น จริงๆแล้วอาจจะมีคนที่คิดแบบเดียวกับเราและสนใจเรื่องเดียวกันกับเรามากกว่าที่เราคิดก็ได้ พอเรามีหลายคนช่วยกันคิดช่วยกันแก้ ทำอะไรให้หลายๆอย่างมันดีขึ้น ปัญหามันก็อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่คิด และเราก็สามารถทำให้มันเกิดเปลี่ยนแปลงได้ไวขึ้นด้วย

สุดท้ายนี้ก็อยากจะทิ้งท้ายอีกหนึ่งหัวข้อที่มักจะไม่ค่อยได้ถูกพูดถึงกันเวลาพูดถึง Climate Change ทั้งหมดที่กล่าวไปข้างบนเป็นเรื่องของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาโลกร้อน สิ่งนี้เรียกว่า Climate mitigation แต่อีกอันนึงที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ Climate adaptation หรือการปรับตัวเพื่อที่จะสามารถอยู่รอดได้ในอนาคตที่โลกมีอุณหภูมิสูงขึ้น ถ้าถามว่าเรื่องไหนสำคัญกว่าจริงๆแล้วต้องตอบว่าทั้งสองอย่างสำคัญเท่าๆกันเลยก็ว่าได้ เพราะไทยเองก็เป็นประเทศหนึ่งที่ได้รับความเสียหายจากสภาวะโลกร้อนติดอันดับต้นๆของโลก และบอกได้เลยว่าจากอดีตที่ผ่านมาเราไม่พร้อมที่จะรับมือภัยพิบัติใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของภัยแล้ง ฝนตกหนัก น้ำท่วม ฝุ่น หรือระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้น ที่จะก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำและความยากจนในระยะยาวรวมไปถึงปัญหาเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นเวลาที่เราพูดถึงปัญหาโลกร้อน เลิกคิดเถอะครับว่าเราจะเป็นประเทศที่ทำเพื่อส่วนรวมเพื่อน้ำแข็งขั้วโลกหรือหมีอลาสก้า แต่ให้คิดว่าเราจะอยู่รอดและปรับตัวยังไงกับอนาคตที่ประเทศของเราจะเผชิญกับปัญหามากมายจาก Climate Change ถ้าวันนี้เรายังไม่เริ่มพูดถึงแผนรับมือ อีกสิบปีข้างหน้าก็คงจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

--

--

Gain
Gain

No responses yet