ปี 2023 เป็นปีที่คนไทยตระหนักถึงผลกระทบจาก Climate Change เป็นอย่างมาก หลายสื่อเริ่มให้ความสนใจ และประชาชนก็เริ่มรับรู้ถึงผลกระทบจากความเสียหายต่างๆ ประเทศไทยเป็นประเทศที่เคยได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติสูงเป็นอันดับต้นๆของโลก และมีแนวโน้มว่าภัยในอนาคตจะยิ่งทวีคูณ การปรับตัวในการอยู่ร่วมกับสภาพภูมิอากาศและอากาศที่แปรปรวนในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และนี้คือ 3 สิ่งที่ไทยควรจะเริ่มทำตอนนี้ เพื่อปรับตัวและลดความเสียหายที่กำลังเกิดขึ้นจะเกิดขึ้นในอนาคตจาก Climate Change
1. ระบบแจ้งเตือนล่วงหน้า (Early warning system)— พูดกันมาไม่รู้กี่รอบกี่รัฐบาล แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำสำเร็จ
- หน่วยงานที่รับผิดชอบต้องมี SOP กับ KPI ที่ชัดเจนและเผยแพร่ต่อสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น กรมอุตุนิยมวิทยา, สำนักทรัพยากรน้ำแห่งชาติ, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, หรือ กสทช ต้องมีโครงสร้างการทำงานร่วมกันที่ชัดเจน 24/7 และรับผิดชอบในกรณีที่ไม่สามารถทำงานตามขอบเขตและหน้าที่ของตัวเองที่ตกลงกันไว้ ถ้าหากการทำงานข้ามหน่วยงานกันเป็นอุปสรรคหรือทับซ้อน ก็ควรจะตั้งหน่วยงานใหม่ที่รวมศูนย์เพื่อการแจ้งเตือนโดยเฉพาะ
- ทุกภัยพิบัตที่เกิดขึ้น จะต้องมีการจดบันทึกและเผยแพร่เวลาการทำงาน การแจ้งเตือน รวมไปถึงเวลาตัดสินใจที่ชัดเจน เพื่อที่จะสามารถนำไปพัฒนาและแก้ไขการทำงานในครั้งถัดไปให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วมากขึ้น KPI ควรจะเป็นการแจ้งเตือนที่ถูกต้องและแม่นยำตามพื้นที่ และสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าได้ทันท่วงทีให้ประชาชนมีเวลาได้เตรียมตัว (อย่างน้อย 2–3 วัน)
- แผนที่และโมเดลในการแจ้งเตือนจะต้องทำด้วยความละเอียดสูง (high resolution) กรมอุตุมีโมเดลพยากรณ์อากาศความละเอียดสูงถึง 1–2 กม. แต่ปัจจุบันกลับแจ้งเตือนแค่ในระดับจังหวัด/ภูมิภาค ซึ่งไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพราะพื้นที่นั้นใหญ่เกินไปและไม่เจาะจงพอ ปัจจุบันแผนที่ความสูง public ทั่วโลกมีความละเอียดถึง 30m เช่น Copernicus DEM ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการรันโมเดลน้ำท่วมและภัยพิบัติอื่นๆได้อย่างเจาะจง และหลายหน่วยงานในไทยก็ได้มีการจัดซื้อ High Performance Computing และมีความสามารถในการรันโมเดลเหล่านี้อยู่แล้ว การแจ้งเตือนไม่ควรจะบอกแค่ว่าจังหวัดไหนฝนจะตกหนัก แต่ควรจะบอกถึงระดับตำบล/หมู่บ้าน/พื้นที่ ว่าที่ไหนมีโอกาสเสี่ยงน้ำท่วมที่มีความรุนแรงระดับใด และแจ้งเตือนไปยังกลุ่มเป้าหมายแบบเจาะจง
- เชื่อมต่อกับ Emergency Alert ของ Apple และ Android — ปัจจุบันไทยมีแผนที่เสี่ยง/การแจ้งเตือนจากหลายหน่วยงาน แต่ไม่มี Product ของหน่วยงานไหนเลยที่แจ้งเตือนถึงประชาชน มีความพยายามของกสทช.ที่จะส่ง SMS แจ้งเตือน แต่ก็ไม่ต่อเนื่องและเหมือนจะไม่ทำงานอีกต่อไปแล้ว การเชื่อมต่อกับระบบของ Apple และ Android จึงเป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด ถูกที่สุด และเข้าถึงประชาชนมากที่สุด ปัจจุบัน Apple weather app ก็ได้มีความพยายามในการใช้ public API ของกรมอุตุ แต่ความถี่ในการอัพเดทกับพื้นที่ในการแจ้งเตือนก็ยังไม่ละเอีดยและรวดเร็วเพียงพอ รวมไปถึงยังมีการสื่อสารที่ผิดพลาดเช่น ค.ศ. พ.ศ. ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่ไม่สอดคล้องกัน
- ซ้อมแจ้งเตือนทุกปีปีละหนึ่งครั้ง — ถ้าหากไม่มีการซักซ้อมก็ไม่มีทางที่จะรู้ว่าระบบนั้นรันได้จริงๆ การซ้อมแจ้งเตือนและส่ง alert ทดสอบไปยังประชาชนจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นและหลายประเทศทำอยู่เป็นประจำ ซึ่งการแจ้งเตือนควรจะมาจากหน่วยงานกลางส่งไปหาทุกคน ส่วนการซักซ้อมนี้ควรจะทำทั้งในระดับครัวเรือนและชุมชน เมื่อเกิดเหตุการณ์ระดับใดจะต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ศูนย์อพยพอยู่ที่ไหน เส้นทางการเดินทางเป็นอย่างไร การซ้อมเหล่านี้จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติได้มหาศาล
2. แผนที่ความเสี่ยงสาธารณะความละเอียดสูง (National Risk Index Map)
- จัดทำแผนที่ความเสี่ยงภัยพิบัติต่างๆความละเอียดสูงและเผยแพร่เป็นสาธารณะให้กับประชาชน รวมไปถึง methodology, dataset, และแหล่งที่มาของข้อมูล แผนที่ความเสี่ยงนี้จะช่วยให้ประชาชนและรัฐบาลสามารถวางแผนความเสี่ยงในชีวิตและทรัพย์สินของตัวเองได้ และทำให้ลดความความเสียหายโดยรวมที่จะเกิดขึ้นจากภัยพิบัติ ในอดีตไทยมีการจัดทำแผนที่ความเสี่ยงจากหลายหน่วยงานรัฐแต่ยังไม่มีแผนที่ใดที่มีความละเอียดสูง (ระดับ asset level) และสามารถนำไปใช้งานได้จริงแบบครอบคลุมทั้งประเทศ
- จัดทำรายงานเมิณความเสี่ยง โดยใช้ข้อมูลจากแผนที่ความเสี่ยง ประกอบกับข้อมูลอื่นๆและอัพเดททุกปี รายงานควรจะมุ่งเน้นไปที่การเมินความเสี่ยงโดยรวมทั้งประเทศ การประเมินความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่ การรับรู้ของประชาชน และแผนการในการปรับตัวกับความเสี่ยงปัจจุบันและอนาคต
- ความเสี่ยง (risk) เกิดจาก 3 ตัวแปร คือ Hazard x Exposure x Vulnerability ซึ่งทั้งสามส่วนนี้ปัจจุบันสามารถคำนวนได้อย่างชัดเจน แผนที่ความเสี่ยงสาธารณะควรจะเผยแพร่:
- แผนที่ความเสี่ยงของแต่ละภัยพิบัติ (hazard) ตาม SSP scenarios และ year timestep ไปจนถึง 2100
- แผนที่ความเสี่ยงรวม (combined risk)
- แผนที่ของ exposure และ vulnerability - ุตัวอย่างแผนที่ความเสี่ยง: FEMA National Risk Index, The U.S. Climate Vulnerability Index, London Climate Risk Mapping, Southeast Asia Infrastructure Risk Prototype
- ตัวอย่างรายงานประเมินความเสี่ยง: Singapore’s Third National Climate Change Study (V3), California national risk assessment, UK Climate Change Risk Assessment 2022, Adaptation and Resilience in ASEAN: managing disaster risks from natural hazards, World
Bank Climate and Disaster Risk Screening Tools (tool), World Bank Climate & Disaster Risk Screening Tools (methodology)
3. นโยบายและแผนรับมือกับ Climate Change แบบรอบด้าน
- รัฐจำเป็นจะต้องวางแผนรับมือกับสภาพภูมิอากาศในอนาคตแบบรอบด้าน โดยใช้ แผนที่ความเสี่ยงในข้อ 2 และนำไปปรับใช้ และวางแผนกับนโยบายในทุกๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นในด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การจัดสรรงบประมาณและทรัพยากร การวางแผนทางด้านเศรษฐกิจ (เช่น ส่งออก, ท่องเที่ยว, เกษตร, พลังงาน) รวมไปถึงนโยบายที่ส่งเสริมการปรับตัว/การลดความเสียหายจากภัยพิบัติ (mitigation incentive)
- กฎหมายต่างๆจำเป็นจะต้องถูกปรับเพื่อให้หน่วยงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- เพื่อการแจ้งเตือนล่วงหน้าในข้อ 1, การทำแผนที่ความเสี่ยงในข้อ 2 และ การนำข้อมูลความเสี่ยงไปใช้ในการดำเนินการและตัดสินใจ
- นอกจากนั้น กฎหมายสิ่งปลูกสร้างและอาคารต่างๆจำเป็นจะต้องอ้างอิงมาตรฐานตามพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติ เช่น มาตรฐานบ้านเรือน/อาคารในพื้นที่เสี่ยง
- กฎหมายระดับท้องถิ่น/ภูมิภาค/ส่วนกลางในการจัดการภัยพิบัติระยะสั้น/กลาง/ยาว และความรุนแรงที่แตกต่างกันออกไป รวมไปถึงกลไกในการจ่ายค่าชดเชยความเสียหายที่ชัดเจน และกลไกในการลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต - แบงค์ชาติจำเป็นต้องเร่งรัดการส่งเสริม/บังคับใช้มาตรฐาน TCFD/IFRS climate risk disclosure และทำ stress test เศรษฐกิจระดับมหภาค เพื่อให้ภาคเอกชน/รัฐบาลเตรียมความพร้อม/มีแผนในการรับมือกับ climate change และเศรษฐกิจโดยรวมสามารถดำเนินต่อไปได้ในกรณีที่เกิดภัยพิบัติร้ายแรง โดยมีเป้าหมายคือการลดความเสียหายจากภัยพิบัติให้ได้มากที่สุดก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิดขึ้น